ประเทศไทยกำลังเข้าสู่สภาวะปกติก่อนการระบาดของโควิด “พิพัฒน์ รัชกิจประการ” ประเมินมอนิเตอร์ไทม์ไลน์ ผ่อนคลายมาตรการยกเลิก PT-PCR กลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทย และตรวจแบบ ATK แทน และมั่นใจไม่เกิดสายพันธุ์ใหม่ ตนขอเป็นผู้นำ เสนอ ศบค.ชุดใหญ่ยกเลิกไทยแลนด์พาส ดีเดย์ 1 มิ.ย. หวังปลดล็อกการท่องเที่ยวอีกครั้ง ส่วนตลาดในประเทศให้โจทย์ KPI ดันยอดใช้จ่ายในปี 65 เพิ่มเป็น 4,100 บาทต่อทริป เพิ่มขึ้นกว่า 36% ด้าน “ฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์” ชูกลยุทธ์เพิ่มความถี่จัดกิจกรรม หนุนวันพักค้าง กระจายรายได้สู่ชุมชน
นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า หลังจากที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (ศบค.) เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาได้ผ่อนคลายมาตรการเรื่องการท่องเที่ยว โดยกำหนดให้ในวันที่ 1 เมษายนนี้ นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาจากประเทศเข้ามาเยือนประเทศไทยไม่ต้องมีผลตรวจโควิดแบบ RT-PCR แล้ว แต่ให้มาตรวจ RT-PCR ครั้งที่ 1 ในประเทศไทย และในวันที่ 5 จะเป็นการตรวจแบบ ATK ซึ่งประกาศของ ศบค.เป็นการค่อยๆ ผ่อนคลายมาตรการในเรื่องของการท่องเที่ยว แต่สิ่งที่เราต้องติดตามคือ ไวรัสโอมิครอนยังคงแพร่ระบาดค่อนข้างรุนแรง โดยเฉพาะในประเทศไทย ที่มีการรายงานตัวเลขในส่วนของผลการตรวจโควิดแบบ RT-PCR อยู่ที่ 25,000-26,000 คนต่อวัน ในส่วนของ ATK แม้จะไม่มีการรายงาน แต่เท่าที่มีการพูดคุย หรือทราบข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุข มีประมาณ 20,000-30,000 คนต่อวัน รวมการตรวจทั้ง 2 รูปแบบมียอดถึง 50,000-60,000 คน
“การที่โอมิครอนระบาดไม่รุนแรง แต่การไม่รุนแรงก็อย่าประมาท ขอให้ดูแลตัวเอง แต่โชคดี กระทรวงสาธารณสุขได้ฉีดวัคซีนให้คนไทยเข็มที่ 1 ถึงร้อยละ 90 เข็มที่ 2 ถึงร้อยละ 80 และเข็ม 3 ร้อยละ 32-33 ส่วนเข็มที่ 4 ค่อยๆ ฉีดแล้ว อย่างไรก็ตาม เรื่องที่รัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุขกังวล คือ เรายังมีเทศกาลสงกรานต์ จะมีการเดินทางกลับบ้าน ท่องเที่ยว เป็นความกังวลของรัฐบาลและของสาธารณสุข ดังนั้น ยังคงมาตรการควบคุมไว้ ไม่มีการปลดล็อกทุกสิ่งทุกอย่าง”
แต่เท่าที่ทราบหากไม่มีอะไรเกิดขึ้น ในวันที่ 1 พฤษภาคมนี้ นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาจากต่างประเทศเข้าประเทศไทยจะไม่มีการตรวจโควิดแบบ RT-PCR แต่จะใช้วิธีตรวจแบบ ATK ที่ต้องใช้บุคลากรทางแพทย์และสถานพยาบาลในการตรวจ
“ตัวผมเอง และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ได้ตั้งใจในวันที่ 1 มิถุายน 2565 นี้ อยากที่จะนำเสนอต่อ ศบค.ชุดใหญ่ที่มีท่านนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ว่าจะขอยกเลิก ไทยแลนด์พาส (Thailand Pass) หรือเทสต์ แอนด์ โก (Test and Go) ได้หรือไม่ เนื่องจากตอนนี้ประเทศไทยสามารถเปิดภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ได้ ซึ่งเราเป็นประเทศแรกๆ ในโลกที่เปิดรับนักท่องเที่ยว ถือว่าเรามีวิสัยทัศน์ที่ดี แต่เรามีความกังวลถ้าหากเราเปิด หรือปลดล็อกเร็วจนเกินไป หากมีอะไรเกิดขึ้นเราจะปิดสถานการณ์ได้ไม่ทัน ดังนั้น รัฐบาลไทย ค่อยๆ ปลดล็อก และหากมั่นใจในเรื่องสายพันธุ์ใหม่แล้วเชื่อว่าในวันที่ 1 มิถุนายน เราจะได้รับการปลดล็อกทุกอย่าง กลับไปสู่สภาวะเมื่อปี 2562 ก่อนที่จะมีการแพร่ระบาดของโควิด ซึ่งผมจะเป็นผู้นำในการเสนอต่อ ศบค.ในการปลดล็อก หรือผ่อนคลายเรื่องไทยแลนด์พาส” นายพิพัฒน์ กล่าวถึงไทม์ไลน์ที่จะเปิดประเทศ
เป้า KPI ปี 65 ดันใช้จ่ายเพิ่มเป็น 4,100 บาท/ทริป
น ส.ฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ รองผู้ว่าการด้านตลาดในประเทศ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวถึงการสร้างความมั่นใจในการเดินทางท่องเที่ยวในจังหวัดอุทัยธานี ภายใต้มาตรฐาน SHA และ SHA+ ว่า ทางททท.ได้มีการตั้งเป้าที่จะให้แหล่งท่องเที่ยว ที่พัก รวมถึงโฮมสเตย์และโฮมลอดจ์ใน จ.อุทัยธานี ได้รับมาตรฐานดังกล่าวเพิ่มมากขึ้น โดยที่สำนักงานท่องเที่ยว จ.อุทัยธานี ทำโครงการเพื่อจะอัปสกิลและรีสกิลผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมทั้ง 10 ประเภท เพื่อให้ได้มาตรฐาน SHA ให้มากขึ้น
สำหรับภูมิภาคภาคเหนือ ททท. ได้กำหนดคอนเซ็ปต์การส่งเสริมตลาด “เสน่ห์วันวาน เมืองเหนือ ย้อนอดีตวัยเรียน (North Nostalgia)” ซึ่งได้มาเปิดตัวที่โรงแรมอุไทย เฮอริเทจ (ที่พักที่รีโนเวตมาจากโรงเรียนอุทัยวิทยาลัย โรงเรียนเอกชนแห่งแรกของอุทัยธานี) ซึ่งถือว่ามีความชัดเจนและมีความโดดเด่นในแง่ของสตอรี่เทลลิ่งเล่าเรื่องราว และมีการย้อนวันวานในอดีต เพื่อเป็นจุดขาย และสร้างความน่าสนใจใหันักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ เห็นได้จากอัตราการเข้าพักหลังจากเปิดให้บริการมาได้ 6-7 เดือน ได้รับความสนใจอย่างมาก ขณะเดียวกัน ทาง ททท.จะพยายามส่งเสริมการเข้ามาท่องเที่ยวเพื่อให้เกิดการพักค้างมากขึ้น ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักด้านการตลาดในประเทศ นอกจากจะเพิ่มรายได้แล้ว ทางททท.จะเพิ่มความถี่ในการจัดกิจกรรมเพื่อให้เกิดการพักค้าง ส่งผลต่อเนื่องถึงรายได้ที่เพิ่มมากขึ้นถึงชุมชนด้วย
“การนำมิติส่งเสริมการท่องเที่ยวต่างๆ ในจังหวัดอุทัยธานี การนำเสนอมุมมองใหม่ๆ และการมีพันธมิตรเพิ่มมากขึ้น และตอนนี้ทุกกระทรวงเข้ามาช่วยเหลือการท่องเที่ยวมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงวัฒนธรรม และกระทรวงอุตสาหกรรม ควบรวมเพื่อนำไปต่อยอดให้ภาคการท่องเที่ยว น่าจะส่งผลให้การท่องเที่ยวขยายตัวมากขึ้น ซึ่งประเมินว่าจะเติบโตได้ประมาณร้อยละ 15-20 เมื่อเทียบกับปี 2562 และยังผลต่อเนื่องถึงวันพักค้างและมีผลต่อเป้าในภาพใหญ่ของประเทศที่จะมีนักท่องเที่ยวในประเทศที่ 160 ล้านต่อคนต่อครั้ง ให้ได้เป็นไปตามเป้าหมาย ทั้งนี้ ในปี 2565 ท่านพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้ให้โจทย์ดัชนีชี้วัดความสำเร็จ หรือ KPI ของการจับจ่ายในการเดินทางในแต่ละจังหวัดประมาณ 4,100 บาทต่อทริป เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2562 ที่มียอดใช้จ่ายประมาณ 3,000 บาทต่อทริป ซึ่งตัวเลขดังกล่าวจะมีส่วนช่วยภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในสถานการณ์ที่ต่างประเทศยังมาไม่ตามปกติ ทำให้ต้องถูกเติมเต็มด้วยตลาดในประเทศ ” น.ส.ฐาปนีย์ กล่าว
สำหรับแนวโน้มการท่องเที่ยวในช่วงเดือนเมษายนซึ่งเข้าสู่เทศกาลสงกรานต์ แม้จะสามารถจัดงานต่างๆ ได้ แต่ยังต้องอยู่บนมาตรการที่เคร่งครัดเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งรูปแบบของการจัดงานปีนี้จะเป็นการจัดงานย่อยๆ ในแต่ละจังหวัดมากกว่าที่จะเป็นจัดงานใหญ่ เพื่อให้คนมีการกระจายไปทุกพื้นที่
อ้างอิง
https://m.mgronline.com/stockmarket/